วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ...ของผม พร้อมเพลง ทรงพระเจริญ โดย บอย โกสิยพงษ์

เนื่องในวโรกาส วันพ่อแห่งชาติ ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553

ซึ่งในวันนี้ เป็นวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ โดยแบ่งความสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้ออกเป็น สองส่วน

ความสำคัญส่วนแรก คือ เป็นวันฉลอง พระชนมายุ ครบ 83 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9 กษัตริย์ ผู้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลก และเป็นผู้ที่ปวงชนชาวไทยทุกคน เคารพ นบน้อม และรักใคร่ เปรียบเสมือน พ่อ ของปวงชนชาวไทยทุกคน

วันนี้จึงมีกิจกรรมต่างๆมากมายเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกัน ไม่ว่าจะเป็นการ กล่าวคำถวายพระพร หรือการจุดเทียนชัย แต่สิ่งที่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ต้องการที่สุด คงไม่พ้นการที่ได้เห็นคนไทยทุกคนอยู่ดีมีสุข และรักใคร่ปรองดองกัน ดังนั้นเรามาช่วยกันทำเพื่อพ่อหลวงกันสักนิด เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อหลวงของเรา ที่ท่านได้เคยทำเพื่อเรามามากมาย เหน็ดเหนื่อยมายาวนาน

สิ่งที่เราควรทำเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อหลวง คงจะมีไม่มากมาย และไม่ยากเกินที่เราทุกคนจะสามารถทำได้ ขอเพียงแค่เราคนไทยทุกคนต้องรักใคร่กัน รับฟังกันให้มากขึ้น เลิกแบ่งฝ่าย และเลิกสร้างความแตกแยก ทำในสิ่งที่ดี ถูกต้อง ตามกฎหมาย รู้สิทธิและหน้าที่ของตัวเอง และยึดหลักพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพ่อหลวงของเราทุกคนชาวไทย นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต เพียงเท่านี้พ่อหลวงของเราก็คงปลื้มปิติแล้ว

สำหรับความสำคัญส่วนที่สอง คือ วันนี้เป็นวันที่แต่ละคนให้ความสำคัญกับบุคคลที่เป็นผู้ให้กำเนิด และเลี้ยงดูเรามา นั่นคือ พ่อบังเกิดเกล้าของแต่ละคนนั่นเอง

วันนี้หลายๆคนอาจพาพ่อ ไปทานข้าว เที่ยว หรือ อะไรก็แล้วแต่ และยังมีอีกสิ่งสำคัญที่หลายคนทำกันในวันนี้ก็คือ การกราบพ่อ ไหว้พ่อ ให้ดอกไม้พ่อ บอกรักพ่อ กอดพ่อ

ซึ่งผมเองก็ได้ืทำสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกับที่หลายๆคนได้ทำในวันนี้ แต่ถ้าจะให้ดี สิ่งเหล่านี้เราควรพยายามทำให้ได้ทุกวัน และเป็นคนดีเพื่อพ่อ ไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจ และผิดหวัง

และในทั้งสองส่วนความสำคัญของวันพ่อนั้น ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในความสำคัญสำหรับผม และผมอยากบอกว่า "ผมรักพ่อมาก" ไม่ว่าจะเป็นพ่อหลวง และ พ่อบังเกิดเกล้าของผมเอง
พ่อทั้งสองนี้ ล้วนแต่มีพระคุณต่อผม ผมสัญญาว่า ผมจะเป็นคนดี และไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน และจะพยายามทำแต่สิ่งที่พ่อได้รับรู้แล้วเกิดแต่ความสุขกายและสบายใจครับ

...รักพ่อมาก

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายด้วยบทเพลงล่าสุดของพี่ บอย โกสิยพงษ์ ที่แต่งไว้ เพื่อใช้ในวโรกาส ฉลอง พระชนมายุ ครบ 83 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9 ในวาระนี้


เพลง...ทรงพระเจริญ 

อยากจะรู้หัวใจพระองค์นั้นทรงทำด้วยอะไร
เหตุอันใดจึงมีความรักมากมายให้ได้กับทุกคน
อยากจะรู้ร่างกายพระองค์ทำไมจึงถึงอดทน
แบกภาระที่มีมากล้นคนเดียวอย่างไร
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
กี่ปีมาแล้วที่เห็นพระองค์นั้นทรงเหนื่อยล้าใจกาย
โดยมุ่งหมายดูแลแก้ไขป้องภัยให้เรา
จนบัดนี้พระองค์ก็ยังคงคอยช่วยเหลือบรรเทา
และทรงเฝ้าทำเพื่อพวกเราไม่เคยเสื่อมคลาย
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของคนไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์


วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลมหนาว...ที่พัดพา...อดีต... ที่เหน็บหนาว...กลับมาทุกครั้ง

      ช่วงเวลาแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ลมแรงๆ อากาศแห้งแล้ง ท้องฟ้าดูครึ้ม พาให้นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งวันเก่าๆ แม้ดูเหมือนเวลาจะผ่านมาหลายปีมาก ตั้งแต่ครั้งสมัยที่หน้าหนาวประเทศไทย ดูจะอุณหภูมิลดต่ำมาก เป็นระยะเวลายาวนาน กว่าทุกๆปี เท่าที่จำได้ นั่นคือฤดูหนาวปี พ.ศ. 2546

      ยังจำได้ดีว่า เมื่อครั้งนั้นเป็นฤดูหนาว ที่ทำให้ผม ได้รู้จัก และเข้าใจ คำว่า "หนาว" ได้อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง ซึ่งเป็นฤดูหนาว ที่หนาวได้ยาวนานและเยือกเย็นที่สุด เท่าที่ชีวิตผมจะจดจำได้ มันทั้งหนาวกาย และหนาวหัวใจ ปะปนกันจนเกินบรรยาย ทำไมนะหรือ? ก็เพราะเป็นหน้าหนาว ที่ผมอกหักเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ผมรู้สึกเหมือนชีวิตขาดคนที่คอยอยู่ข้างกาย ขาดคนที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ขาดคนที่คอยโทรหา พูดคุย ขาดคนที่คอยเดินจับมือไปด้วยกัน ขาดคนที่เคย ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ไปด้วยกัน  เพราะจิตใจผมไม่อาจจะยอมรับสิ่งที่ขาดหายไป อย่างไม่ทันเตรียมใจ ในฤดูหนาวครั้งนั้นได้

      มันอาจจะดูโอเวอร์และน้ำเน่าสำหรับใครหลายคน อาจเพราะบางคนคงยังไม่เคยได้รับรู้ถึง คำว่า "รัก" และคำว่า "ผูกพัน" อย่างแท้จริง แต่ถ้าใครเคยผ่านจุดๆนึงที่ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สมองคิดอย่างเดียวคือ ขอให้เค้าคนนั้นกลับมา ซึมเศร้า อ่อนแอ ร้องไห้ได้ง่ายๆ ฯลฯ  นั่นคืออาการหลักๆของคนอกหัก คงเหมือนในละครหรือในหนัง ที่สมัยตอนเด็กๆผมเองก็เคยได้ดู บทละครที่พระเอกหรือนางเอก ร้องไห้ จะเป็นจะตาย เพราะอกหัก  ผมเองก็ยังเคยแอบขำในใจ มองว่า มันจะมีจริงเหรอ ความรู้สึกแบบนั้น  และแล้วจนได้เจอกับตัวเองในหน้าหนาวครั้งนั้น ด้วยอารมณ์ผสมกับบรรยากาศของลมหนาว ยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำของผมให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า หน้าหนาวในปีนั้นมันช่างยาวนานกว่าที่เคยมีมา และตั้งแต่วันนั้นมา ทำให้ผมได้รู้ว่า อาการคนอกหัก มีอยู่จริงในโลกใบนี้

      เมื่อถึงฤดูหนาวทีไร ลมหนาวก็ยังพัดพาความรู้สึกเก่าๆ ที่แสนเลวร้าย เจ็บปวด เหน็บหนาว กลับมากระทบกาย และกระทบจิตใจของผมอยู่เสมอ... จนบางครั้งผมแยกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่า ชอบฤดูหนาว หรือเกลียดฤดูหนาว กันแน่

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้... และ ยอมรับ...

      และแล้วปัญหามากมายเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่ผมต้องเจอ สุดท้ายมันก็สิ้นสุดลง ด้วยการ ลาออก คำสั้นๆที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใครๆหลายคน ผมเองก็หนึ่งในนั้น ที่ในวันนี้ ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเอง เป็น คนตกงาน

      ไม่รู้ว่า มันสบายใจ หรือ ทุกข์ใจ กันแน่ อยู่ดีๆมันก็น่าใจหายที่วันนึงจะต้องฝืนตัวเอง ตื่นขึ้นมา ก่อน 8 โมง เพื่อ จะไปทำงานให้ทัน ไปนั่งเจอหน้าเพื่อนร่วมงานคนเดิมๆ วันละ 8 ชม. พักเที่ยงกินข้าวร้านเดิมๆ วนไปวนมาอยู่ไม่กี่ร้าน ดีใจทุกครั้งเมื่อถึงวันศุกร์ หน้าแห้งทุกครั้งยามสิ้นเดือน สุขใจทุกทีเมื่อต้นเดือนเงินเดือนออก และอีกหลากหลายอารมณ์ที่ได้รับรู้จากการ ทำงานประำจำ

      พอถึงวันนี้ ทุกสิ่งที่เหมือนจะเคยสัมผัสมันมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อครั้งที่ยังไม่ต้องทำงาน แต่เรากลับไม่เคยชินกับมันอีกครั้ง กับการที่ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว จะตื่นกี่โมงก็ได้ มีเวลามากมาย มีอิสระ ไม่ต้องแบกภาระอะไร

      แต่สิ่งที่ต้องมานั่งคิดกังวลคือ ต่อไปจะทำอะไรดี จะเอาเงินที่ไหนมาใช้

      คนเราก็แปลกนะ พอมีเวลา ก็มักไม่มีเงิน พอมีเงิน ก็มักไม่มีเวลา ชีวิตหนอ ทำไมมันช่างสวนทางกันในหลายๆเรื่อง ต่อไปนี้ผมจะขอเลือกทางเดินใหม่ โดยการทำอะไรสักอย่าง ที่มีเงิน และยังมีเวลา

      วันนี้ผมหวังเพียงสิ่งเดียวว่า ขอให้สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำลงไปนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และขอให้มีสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในอนาคตตลอดไป แม้จะรู้ดีว่า ชีวิตนีต้อง...เรียนรู้ และ ยอมรับ

ดั่งเพลงของ พี่ บอย โกสิยพงษ์ ที่มีชื่อว่า "Live and Learn" ก็ตาม


เนื้อเพลง
ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn)


เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด


วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

เลือกใช้คำว่า...เดี๋ยว

   หลายคนเคยคิดอะไรไว้ เคยอยากจะทำอะไร เคยฝัน เคยชอบ เคยรัก เคยอยาก...(แต่ละคนอยากต่้างกันไปมากมาย)  แต่ถ้า เรา เอ่ยคำว่า "เดี๋ยว" เดี๋ยวค่อยทำ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวว่ากัน เดี๋ยวดูก่อน เดี๋ยวดูอีกที  เดี๋ยวนะ ฯ สุดท้ายอะไรทุกอย่างก็จะยังไม่เกิด ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นแค่อนาคต ที่อาจจะไม่มีทางได้ไปถึง

   แต่...ถ้าเราเปลี่ยนเป็นคำว่า "เดี๋ยวนี้"  แค่นั้นแหละ ทุกอย่างจะเป็นปัจจุบันและดำเนินต่อไปในทันที

   และคำว่า "เดี๋ยว" คำสุดท้ายที่ไม่ควรไปยุ่งกับมันในการตั้งใจทำอะำไรสักอย่าง ก็คือคำว่า "เดี๋ยวเดียว"

   ดังนั้นต้องเลือกใช้คำว่า "เดี๋ยว" กันเอาเอง

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ไม่มี

คืนวันศุกร์นี้ เป็นคืนวันศุกร์ที่ไม่ปกติของผม เพราะในส่วนใหญ่ของค่ำคืนวันศุกร์จะเป็นวันที่ผมออกไปพักสมองที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน

แต่คืนนี้...ผมกลับอยู่ที่บ้าน นั่งอยู่หน้าคอม เพื่อเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่  พร้อมสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน  วันนี้ผมรู้สึกท้อแท้ใจมาก กับหน้าที่การงาน  ผมได้แต่อดทนต่อความท้อแท้ อดทนต่อปัญหาที่ถาโถม ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องคน ฯ

จะว่าไปคืนนี้ก็เป็นคืนที่บรรยากาศดี ถ้าได้ล้มตัวลงนอน  ปิดสายตา ปิดสมอง แต่ผมยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ผมยังคงต้องสะสางอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายทั้งปวง  ยังคงนั่งอยู่หน้าคอม ทั้งที่สมอง สายตา และจิตใจ อ่อนล้าเต็มทีกับการงาน

เลยคิดว่าลองพักสมองลง มาทำสิ่งที่อยากจะทำสักครู่จะดีกว่า

ผมเลือกที่จะมาเขียนบทความลงบล๊อก...

คงทำได้แต่เขียนระบายใส่บล๊อกของตัวเอง  เพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นให้มัน ออกมาข้างนอกบ้าง

วันนี้ผมอาจจะเขียนบทความนี้อย่างไม่มีจุดหมาย อาจเพราะสมองผม ที่ไม่อยากจะเรียบเรียง วิเคราะห์สิ่งใดๆแล้วทั้งสิ้น

ที่ผมเขียนมันออกมาได้ เพราะใช้ความรู้สึกลึกๆ ที่รักในการเขียน และอยากจะถ่ายทอดบางสิ่งออกมาล้วนๆ

แม้ทุกๆครั้ง ผมมักจะเป็นคนชอบตรวจทานข้อความอย่างละเอียด แต่วันนี้...ไม่!!

บางครั้ง บางสิ่ง บางอย่าง มันก็ดี หากไม่ได้ถูกการปรับแต่งใดๆทั้งสิ้น ดังเช่นดนตรีเหมือนกัน ซึ่งเพลงบางเพลง ถ้าลองได้ทำและบันทึกมันออกมาแบบสดๆ ไม่ได้ปรับแต่งเสียงใดๆ ก็สร้างเอกลักษณ์บางอย่างได้เหมือนกัน

ขณะที่ผมเขียนบทความนี้อยู่นั้น เสียงสายฝนที่เคยดังอยู่ก่อนหน้านี้ เสียงฟ้าที่ร้องโครมคราม กลับเงียบสงบลง มันทำให้ผมนึงถึงเพลง "ฤดูที่แตกต่าง" ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ขึ้นมาทันที เพลงนี้เป็นเพลงปลอบใจของใครหลายๆคน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ได้ฟังหรือนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาทีไร รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาส่วนหนึ่งทุกทีไป

ผมอยากสารภาพว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะจบแบบว่า ดึงเพลง "ฤดูที่แตกต่าง" มาเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย

บทความนี้เป็นบทความที่ผมตั้งใจให้มันเป็นธรรมชาติที่สุด ผมไม่ได้วางขั้นตอน วางคอนเซ็ปใดๆ ก่อนจะเขียนเลย ผมเขียนมันไปเรื่อยๆ ตามแต่อารมณ์และสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนด

แต่สุดท้ายมันก็ยังวนกลับไปที่แก่นสารหรือจุดสำคัญของบล๊อกนี้จนได้ นั่นคือ เพลงของ
พี่ บอย โกสิยพงษ์ ที่อยู่ในดวงใจของผมตลอดมา

ยังไงต้องขอขอบคุณสายฝน ที่ทำให้ผมจบบทความนี้ได้อย่างสวยงาม ทั้งที่ตอนเขียนอยู่นี้ คิดว่าบทความนี้จะต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่บอยแน่ๆ ไม่เชื่อลองดูหัวข้อบทความนี้ดูสิ ผมตั้งว่า "ไม่มี" เพราะผมไม่อยากจะคิดวางแผนอะไรมากมายอีกแล้ว อยากจะแค่มาระบายความรู้สึกของตัวเองที่เหนื่อยล้า ท้อแท้ ก็เท่านั้น คิดว่าคงไม่มีหัวข้อบทความอะไรที่น่าสนใจ ที่ผมพอจะนึกและตั้งใจเขียนมันออกมาได้ในขณะนี้...

บทความนี้สอนตัวผมเองให้รู้ว่า "บางครั้งการไร้จุดหมาย กลับสร้างจุดหมายให้เราได้"

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เพลงพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ผมมองข้ามไป

รู้สึกว่าผมจะไม่ได้อัพเดทบล๊อกนี้มานาน หลายวันมาก เนื่องจาก คอมพิวเตอร์ที่อพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่ ดันเสียซะนี่ หลังเลิกงานกลับห้องไปก็ได้แต่นั่งดูละครน้ำเน่าไปวันๆ (ดีนะ เรื่องวนิดา แอ๊บ ทศอร เป็นนางเอก น่ารักมาก) ทนไปจนถึงวันศุกร์ก็ได้ทีกลับมานอนบ้าน มาหาพ่อแม่บ้าง กลับมาเล่นคอมที่บ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ดันหลับซะงั้น ไม่ทันได้เขียนบล๊อกเ้ลย พอมาวันนี้ ณ เวลา ตี 3 กับ 19 นาที ผมเพิ่งกลับมาจากการไปร่วมกิจกรรมต่างๆนาๆ ของชาวแก๊งค์ Mazda2 Lover Club ซึ่งเป็นพวกขับรถมาสด้า 2 และรักในมาสด้า2 นั่นละครับ แต่ผมเอง ไม่ได้ขับหรอก แต่ดันไปสนิทกับพี่คนก่อตั้งclub mazda2lover และได้ช่วยงานด้านเว็บไซต์เค้าหลายอย่าง เลยได้ไปเที่ยวและทำกิจกรรมร่วมกับคลับนี้อยู่บ่อยๆ

วันนี้เริ่มด้วยกิจกรรมซ้อนดนตรีภายในคลับ ผมได้รับเกียร์ติเป็นนักร้องนำซะด้วย เสียดาย ไม่ได้เล่นเพลงของพี่บอยเลย ไว้งวดต่อไปจะลองเสนอให้เล่นกันสักเพลง  พวกเราก็ร้องๆเล่นๆกันไปแบบขำๆ กระท่อนกระแท่นหน่อย แต่ก็พอฟังได้ ยังไงซะก็มีนักร้องนำของวง ที่หน้าตาดีมาก เสียงดีสุดๆ เท่ห์บรรลัย (ผมเอง) ในห้องซ้อมก็มีคนในคลับและเพื่อนๆของคนในคลับอีกที มาร่วมอดทนฟังอยู่ด้่วย มารู้ทีหลังว่ามีพี่คนนึงที่มาอดทนฟัง เค้าเป็นนักร้องอยู่เหมือนกัน แถมเคยประกวด KPN มาหลายปีมาก ได้เข้ารอบลึกๆอยู่ด้วย

หลังจากซ้อมเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งกินอาหารอีสานกัน ส้มตำ ไก่ย่าง ลาป น้ำตก ปลาร้า ข้าวเหนียว ฯ ร้านชื่อ ตำตำ แถวลาดพร้าว ซึ่งอยู่ข้างๆกับห้องซ้อมนั่นละ กินกันแซ่บๆ ขี้มูลไหล จิบเบียร์ไปพลางๆ

หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว แต่ด้วยความที่สาวๆใน mazda2lover สงสัยจะอารมณ์ค้าง เลยนัดกันไปร้องคาราโอเกะ ที่ร้าน Big Echo แถวๆอโศก จึงพากันขับรถไป กว่าจะถึงก็ปาไป 5 ทุ่มกว่าๆแล้ว นั่งร้องกันประมาณ 8-9 คน และพี่สาวขาวหมวยน่ารัก ที่ว่าเคยประกวด KPN ก็ไปร้องด้วย แหม!! ร้องเพราะจริงๆด้วย เสียงนิ่งมากๆ ร้องซะผมอายไปเลย แล้วอยู่ดีๆ พี่คนนั้นเค้าก็ถามผมว่า "รู้จักเพลง เก็บดาว ของ บอย โกสิยพงษ์ ไหม เรามาร้องคู่กันนะ" ผมงี้อึ้งเลย ไรว้า ชอบพี่บอยซะมากมาย ชอบเพลงพี่บอยทุกเพลง แต่ดัน มองข้ามเพลง เก็บดาว ไปซะได้ ซึ่งเพลงนี้ เป็นเพลงที่ผมฟังแค่ผ่านๆมาตลอด ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เลยรองได้แค่ท่อนฮุกนิดหน่อย คิดแล้วมันเจ็บใจตัวเองหลายเด้ง ทั้งเด้งแรกคือ อดร้องคู่กับพี่สาวขาวหมวย ดีกรีเคยเข้ารอบ KPN  อีกเด้งก็คือ เจ็บใจตัวเอง โม้ใครต่อใครว่าชอบเพลงพี่บอยมาก ชอบเพลงพี่บอยทุกเพลง ยังงั้นยังงี้ แต่ดันร้องเพลงนี้แบบเต็มๆไม่้ได้ มันอัดอั้นอยู่ในอกและเจ็บที่ต้องบอกพี่สาวขาวหมวยไปว่า "เคยฟังคับ แต่ผมร้องไม่ได้อะครับพี่"

เศร้าๆๆๆๆ แถมเจ็บใจ ละอายใจ ก็เลย นั่งกดๆๆ เลือกเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ดู แล้วได้ไปเจอเพลงโปรดอีกเพลง ชื่อเพลง "ช่วงชีวิต" ที่พี่โป้ โยคีเพลบอย ร้องเอาไว้ เลยจัดการโชว์ด้วยเพลงนี้ซะ ฮ่าๆๆ ผมร้องเพราะมากๆ (ไม่มีคนชม ขอชมตัวเองละกัน) แล้วคนอื่นๆก็ร้องๆๆๆกันไปอีกหลายเพลงจนตี 1 ร้านก็ปิด เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ขากลับ ผมขับหลงทางซะงั้น ดีไม่ไปออกสุพรรณบุรี

ที่จะเล่าก็มีแค่นี้ละครับ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เพลง เก็บดาว นี่แหละ ทำผมเสียความรู้สึกกับตัวเองมากๆ ที่ดัน ร้องเต็มๆเพลงไม่ได้ เพราะดันมองข้ามเพลงนี้มาตลอด แทบไม่เคยจะเปิดฟังเลย วันนี้เลยกลับมาเปิดฟังซะ 20 กว่ารอบซะเลย  อ่ะๆไหนๆก็พูดถึงเพลง เก็บดาว ของพี่ บอย โกสิยพงษ์ แล้ว งั้นขอเอาเนื้อเพลงมาลงไว้ซะหน่อยละกันครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

เนื้อเพลง เก็บดาว
ผู้แต่ง บอย โกสิยพงษ์

อยู่...ท่ามกลางตะวันทาบทอขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ร้อนแรงส่องแสงมา
จวบจนตะวันนั้นลับจากสายตา เมื่อถึงเวลาฟ้าจึงเปลี่ยน
เปลี่ยนเป็นกลางคืนที่มีหมู่ดาว คืนที่ฟ้างดงามด้วยแสงพราว
ส่องเป็นประกายระยับวับวาว อยากคว้าดาวมาอยู่ใกล้มือ

จะลองเอื้อมไปสุดฟ้า และคิดจะไปเสาะหา
มีดาวเท่าไหร่ที่รอให้เราไขว่คว้า

เก็บดาวบนท้องฟ้า แล้วแทนรักมาให้กัน ให้เธอเป็นของขวัญ
แทนด้วยสื่อสายใจ อยากให้รักเราเหมือนฟ้า
ที่เต็มไปด้วยดาวสดใส ตลอดกาล

อาจจะมีบางครั้งที่เราห่างไกล แต่เรามีฟ้าและดาวผูกหัวใจ
เก็บเป็นพลังให้เราฝันใฝ่ อยากคว้าดาวมาอยู่ใกล้มือ

จะลองเอื้อมไปสุดฟ้า และคิดจะไปเสาะหา
มีดาวเท่าไหร่ที่รอให้เราไขว่คว้า

โปรดจับมือฉันไว้แล้วล่องลอยไป ไปตามแสงดาวที่ส่อง
ให้สองเราก้าวเดิน เปี่ยมด้วยรักและพลังที่เกิด จะรักกันชั่วดินฟ้า

เก็บดาวบนท้องฟ้า แล้วแทนรักมาให้กัน ให้เธอเป็นของขวัญ
แทนด้วยสื่อสายใจ อยากให้รักเราเหมือนฟ้า
ที่เต็มไปด้วยดาวสดใส จะรัก รักเธอตลอดไป...

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

5 กันยา วันเกิด พี่บอย โกสิยพงษ์

วันนี้เป็นวันที่ 5 กันยายน 2553 เป็นวันคล้ายวันเกิด ของพี่ บอย โกสิยพงษ์ บุคคลสำคัญแห่้งวงการเพลงคนหนึ่ง วันนี้ถ้าผมดูข้อมูลไม่ผิดพลาด พี่บอยน่าจะอายุครบ 43 ปี ยังไง ก็ขอสุขสันต์วันเกิดพี่บอย นะครับ
ขอให้มีความสุขมากๆ และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยดลบันดาลให้พี่บอย จงมีแต่ความเจริญก้าวหน้า ไร้โศก ไร้โรค ไร้ภัย มีสุขภาพกาย สุขภาพจิต ที่ดี (อันนี้อวยพรแบบชาวพุทธ) ต่อไปขออวยพรแบบ คริสเตียน หน่อยแล้วกันครับ แม้ผมจะไม่ใช่คริสเตียนก็ตาม แต่ก็จำเค้ามาพูดนิดนึง ก็ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพี่บอยครับ ขอให้พลังอันยิ่งใหญ่สถิตแก่พี่บอยนะครับ

ผมเองก็คงไม่มีอะไรจะให้พี่บอยหรอกครับ นอกจากคำอวยพร และความรู้สึกชื่นชอบ อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พี่บอยจะมีโอกาสได้เห็นคำอวยพรของผมไหม แต่ไม่เป็นไร ผมได้ทำก็สุขใจแล้ว หรือถ้ามีโอกาสให้ของขวัญพี่บอยจริงๆ ผมอยากจะซื้อเค้กกล้วยหอมพร้อมกับจุดเทียน 1 เล่มครับ ให้พี่บอยขอพรแล้วเป่าให้ดับ (เทียนพรรษานะครับ) อิอิ

ล่่าสุดได้ข่าวว่าพี่บอยบ่นในเฟซบุค ว่าไม่ค่อยสบาย ขยับได้แต่นิ้วเลยมาบ่นผ่านเฟซบุค ยังไงก็ขอให้หายป่วยเร็วๆครับ บอกแล้วว่าอย่าหักโหมนะพี่...

สุดท้ายนี้ผมคิดไม่ออกว่าจะมอบเพลงอะไรให้พี่บอยในวันเกิด คิดมาทั้งวันแล้ว เลือกไม่ถูกจริงๆครับ
ตอนแรกว่าจะเอาเพลง ก่อนตาย บิ๊กแอส ก็กระไรอยู่ เพลง วันเกิด พี่โป้ โยคี เพลบอย ก็ไม่ค่อยเข้า สุดท้ายขอเลือกเพลงของพี่บอยเอง มอบให้กับพี่บอยละกันนะครับ แม้จะไม่ใช่เพลงอวยพรวันเกิดก็เถอะ แต่ผมชอบเพลงนี้มากครับ แบบว่า แอบชอบพี่บอยมานานแล้วด้วยครับ ชอบจริงๆนะครับ อยากได้พี่บอยเป็นแฟน 555+ ล้อเล่นครับ ชอบผลงานเพลงครับ ผมแมนเต็มร้อย ถึงขนาดเป็นยอดชายเลยแหละ ฮ่าๆๆ

เพลง : ผมแอบชอบคุณอยู่
อัลบั้ม : Millions Ways to Love Part 1

ผมขอเวลาบอกความจริงที่ผมซ่อนไว้ข้างใน
ขอให้คุณฟังจนจบเพลงได้หรือไม่
และหากฟังจบแล้ว และก็มีแต่คุณที่ชอบผมอยู่
เป็นสิ่งเดียวในโลกที่อยากจะให้คุณรู้
ตั้งแต่พบกัน ไม่ต้องกังวล และอย่าเพิ่งสับสน
กับสิ่งที่ผมพูดออกไป ผมขอเวลา
ช่วยฟังจนจบเพลงได้หรือไม่
คือผมแอบชอบคุณอยู่
และก็มีแต่คุณที่ผมชอบอยู่
เป็นสิ่งเดียวในโลกที่อยาก
จะให้คุณรู้ ตั้งแต่พบกัน ผมชอบคุณอยู่
และก็มีแต่คุณที่ทำให้ผมไหวหวั่น
ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น นอกจากชอบคุณ
และผมจะไม่ขอ และผมจะไม่ถาม
จะไม่ทำให้คุณวุ่นวาย
และขอสัญญาว่าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย



จุฟๆ คับพี่บอย 55555+ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

"คืนนี้" บอย โกสิยพงษ์

คืนนี้ผมนั้งอยู่คนเดียว เช่นเคย หลังเลิกงาน ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นที่เช่าอยู่ ผมเป็นคนชอบความมืดยามค่ำคืน แต่ก็แปลก แม้จะชอบความมืดยามค่ำคืนก็จริง แต่ผมก็ยังรู้สึกเหงาทุกครั้ง เมื่ออยู่คนเดียวยามค่ำคืน ผมเป็นคนชอบแสงไฟสลัวๆ ซึ่งมัันก็ยิ่้งสร้างความเหงาให้เพิ่มขึ้น

คืนนี้ผมออกไปนั่งนอกระเบียง ห้องผมอยู่ชั้น5 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอพาร์ทเม้น ขณะที่กำลังมีสายฝนโปรยปรายบางๆ พร้อมกับแสงฟ้าแลบเป็นระยะ เสียงฟ้าร้องที่ตามมา ผมมองออกไปเห็นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมที่มีแสงไฟสีส้มเป็นระยิบๆ เห็นสวนต้นไม้และดงป่าเล็กๆด้านล่างห้อง เห็นทางด่วนที่มีรถวิ่งฝ่าสายฝนผ่านไปมาอย่างบางตา ผมเปิดเพลงฟังไปด้วย ซึ่งเป็นการตั้งแบบ Random เมื่อได้อยู่กับความมืดเวลาค่ำคืน ทำให้ผมมีทั้งความสุข และความเศร้า ปะปนกันไป แต่ผมชอบความรู้สึกแบบนี้จัง

ในคืนนี้เพลงๆหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา เพียงเสียง intro ก็ทำให้ผมรู้สึก...วาบๆภายในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งตั้งใจฟังและพยายามแปลความหมายของเพลงๆนี้ทุกๆถ้อยคำและทำนอง แม้แต่ก่อนจะเคยฟังแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่วันนี้กลับรู้สึก... บางอย่างที่มันอธิบายออกมาไม่ถูก แต่รู้สึกได้ว่า เพลงนี้เข้าถึงอารมณ์ของผมมากจริงๆในคืนนี้

ผมกลับมากดฟังซ้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเขียนบทความนี้ไปด้วย ผมเพิ่งได้เข้าใจว่า เพลงๆเดียวกัน ในค่ำคืนและอารณ์ที่ต่างกัน ก็ทำให้คุณค่าและความไพเราะของมัน แตกต่างกันไปด้วย

สุดท้ายนี้ผมรู้แต่เพียงว่า...คืนนี้มันไม่ยอมผ่าน คืนนี้มันช่างโหดร้าย  ทุกๆนาที ที่ผ่านพ้นไป มันช้ามันนานและมันโหดร้ายทำลายจิตใจฉัน...

..................................................................................................................................

เพลง...คืนนี้ Slowly
ผู้แต่ง...บอย โกสิยพงษ์


ถ้าใครไม่เคยรู้สึกถึงความเจ็บปวดของค่ำคืนที่ยาวนาน วันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง(คำพูด)

จะทำยังไง ในคืนอันร้าวราว
มันทรมานอยู่กับภาพเธอคนนั้น
จะข่มใจไม่คิดมัน คงไม่มีวันจะห้ามใจ

ความรู้สึกดีๆกับคนที่เคยรักและเคยเชื่อถือมาตลอด(คำพูด)

จะทำยังไงเมื่อคนเคยรักกัน
เคยมีคืนวันที่เปี่ยมด้วยความหมาย

*จู่ๆเธอก็หายไป เหลือไว้แค่เพียงภาพฝังใจ

**คืนนี้มันไม่ยอมผ่าน คืนนี้มันช่างโหดร้าย
ทุกๆนาที ที่ผ่านพ้นไป มันช้ามันนานและมันโหดร้ายทำลายจิตใจฉัน..

(*)

และคืนนั้นผมจำได้ว่า เวลาได้ผ่านไปช้ามาก(คำพูด)

(**,**)

ผ่านจากคืนนั้น ทุกๆอย่างก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคงจะต้องจำตลอดไปก็คือ
เธอคนนั้นที่ช่วยให้ผมได้รู้ คืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเป็นยังไง และผมจะไม่ลืม
คืนๆนั้น ตลอดไป..(คำพูด)

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติพี่บอย โกสิยพงษ์

ไหนๆก็ไหนๆครับ ชอบพี่บอย โกสิยพงษ์ แต่ไม่รู้ประวัติพี่บอย โกสิยพงษ์ เลยก็คงกระไรอยู่

อ่ะไหนๆ ก็ไหนๆ ผมเลยลงทุน จัดการ Search หาข้อมูลจากอากู๋(เกิ้ล) มาให้ได้รับรู้กัน

บอย โกสิยพงษ์ เป็นนักแต่งเพลง นักร้อง และโปรดิวเซอร์ผลิตเพลงแนว R&B มีชื่อจริงว่า ชีวิน โกสิยพงษ์ เคยเป็นหนึ่งในผู้บริหารของค่ายเพลงเบเกอรี่มิวสิก และมีผลงานแต่งเพลงหลายชุด ปัจจุบันเป็นผู้บริหารค่ายเพลงเลิฟอีส

บอย โกสิยพงษ์ หรือชื่อจริงคือ ชีวิน โกสิยพงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2510 เป็นลูกคนกลางในจำนวนพี่น้อง 3 คน ในวัยเด็กบอยมีความสนใจทั้งในด้านดนตรีและการ์ตูนมาก บอยได้เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และเริ่มแต่งเพลงประกอบการ์ตูน ที่เขียนขึ้นเองตั้งแต่อยู่ชั้นประถมปีที่ 6 บอยจบการศึกษาด้านการแต่งเพลง และธุรกิจเพลงจากมหาวิทยาลัย UCLA (University of California at Los Angeles) ประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อจบการศึกษา บอยได้เริ่มทำงานเป็นนักแต่งเพลงอิสระที่ทำงานให้ทั้งศิลปินเพลง และเพลงประกอบโฆษณา จนกระทั่งได้ร่วมงานกับ สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ ที่ต่อมาเขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัท เบเกอร์รี่ มิวสิค ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2537 ร่วมกับ สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ สมเกียรติ อริยชัยพาณิชย์ และ สาลินี ปันยารชุน โดย บอย มีหน้าที่หลักในด้านแต่งเพลงและทำดนตรี

บริษัทเบเกอรี่มิวสิค เติบโตเรื่อยมาจนกระทั่งประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องเข้าร่วมกิจการกับบริษัท บีเอ็มจีมิวสิค(ประเทศไทย) และภายหลังในปี พ.ศ. 2547 บริษัทแม่ของบีเอ็มจีที่ต่างประเทศ ได้ควบรวมกิจการกับบริษัทโซนีมิวสิก ส่งผลให้บริษัทเบเกอร์รี่มิวสิคที่เข้าร่วมกิจการกับบริษัทบีเอ็มจี มิวสิค(ประเทศไทย) ต้องเข้าร่วมกับบริษัทโซนีมิวสิก(ประเทศ ไทย)ไปโดยปริยาย และเบเกอร์รี่มิวสิค ต้องกลายเป็นค่ายเพลงย่อยของโซนี่มิวสิค ผู้บริหารของเบเกอร์รี่มิวสิครวมถึงบอยเอง จึงลาออกจากเบเกอร์รี่มิวสิค ต่อมาบอยและสุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ ได้ร่วมก่อตั้งค่ายเพลงใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อ เลิฟอีส แต่ต่อมาค่ายเพลงเลิฟอีส ได้ปรับมาเป็นบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์

ในด้านชีวิตส่วนตัว บอย โกสิยพงษ์ ได้สมรสกับ วรกัญญา โกสิยพงษ์ และมีลูกสาวด้วยกันสองคน คือ ดีใจ โกสิยพงษ์ และ ใจดี โกสิยพงษ์ ในด้านการนับถือศาสนาบอยได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย นะครับ ลอกมาทั้งดุ้น

ยังไงก็อ่านกันไปคร่าวๆแค่นี้ก่อนละกันครับ (กลัวหมดมุข ไม่อยากเอามุขที่ฝังไว้ที่...มาใช้)

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อยากบอกว่า "ผมชอบพี่บอย โกสิยพงษ์...

...นี่คงเป็นบทความแรก เป็นจุดเริ่มต้นของบล๊อกนี้ ที่บอกเกี่ยวกับความรู้สึกของผม ที่มีต่อคนๆหนึ่ง ที่ใครๆต่างเรียกว่า "พี่บอย โก"

ผมจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็น แฟนคลับของพี่บอย โก ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะว่า ผมแทบไม่รู้ประวัติของพี่บอยเลย ผมไม่เคยตามไปดูคอนเสริตของพี่บอยเลย ผมไม่ได้ซื้อเทป ซีดี หรือผลงานเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ เก็บไว้ครบทุกชุด ผมจำไม่ได้หมดว่าพี่บอยแต่งเพลงอะไรไว้บ้าง ผมไม่ได้นั่งฟังเพลงพี่บอยทุกวัน ผมไม่เคยเห็นหน้าพี่บอยตัวเป็นๆเลย ผมไม่เคยขอลายเซ็นต์พี่บอยเลย ไม่เคยรู้จักกลุ่มแฟนคลับของพี่บอยเลย ผมไม่เคยรู้ว่าพี่บอยมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองไหม? มีเว็บไซต์แฟนคลับพี่บอยไหม?

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผมเลย เพราะนิยามคำว่าชอบ ของแต่ละคนแตกต่างกันไป ผมตั้งชื่อบล๊อกนี้ว่า "ชอบ...พี่ บอย โกสิยพงษ์" ซึ่งก็แปลก ที่ผม ไม่กล้าใช้คำว่า "รัก" แทนคำว่า "ชอบ" ผมอาจจะเขิลหรือละอายใจเกินไป ที่จะใช้มัน

สำหรับผมแล้ว พี่บอยก็เป็นแค่ผู้ชายคนนึง แก่ ไม่หล่อ หัวล้าน ไม่แนว (ผมเป็นคนพูดตรงๆ) ต้องขอโทษพี่บอยไว้ล่วงหน้า ผมไม่ได้มีเจตนา จะว่าอะไรพี่บอยหรอก แค่พูดจากที่เห็นภายนอก กลัวพี่บอยจะบังเอิญมาอ่านเจอ ซะงั้น ซึ่งนี่ก็เป็นความฝันหนึ่งของผม ที่หวังว่า สักวัน พี่บอยอาจจะได้อ่านบล๊อกของผม

บรรยายมาซะยืดยาว หลายคนที่อ่านมา ยังไม่รู้เลยว่า ผมชอบพี่บอยตรงไหน? เพราะอะไร?
อ่ะ บอกให้ก็ได้ ผมชอบเพราะว่า... เพลงของพี่บอย เพราะมาก มีความหมายดี สื่อความหมายดี ถ้อยคำสละสลวย(เขียนถูกป่าวไม่รู้) ดนตรีไม่ซ้ำซาก ไม่ตายตัว ฟังสบาย ฟังไม่เบื่อง่ายๆ มีเอกลักษณ์ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ (ยากเกินจะอธิบายด้วยคำพูดได้ครบครับ) นี่แหละครับ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมชอบพี่บอย โกสิยพงษ์ มากๆ

รู้ไหม ผมแอบอิจฉา นักร้อง ที่ได้ร้องเพลงที่พี่บอยแต่ง ซึ่งแต่ละคนเป็นคนที่ร้องเพลงได้มีคุณภาพสุดๆ ซึ่งพี่บอยเลือกนักร้องที่จะมาถ่ายทอดเพลงของพี่บอย ได้ดีมาก และนี่เป็นอีกหนึ่งความฝันของผม ที่จะได้มีโอกาส ได้ร้องเพลงที่พี่บอยแต่งขึ้นมาสัก 1 เพลง แม้มันจะไม่ใช่เพลงโปรโมทก็ตาม ไม่รู้ว่าชาตินี้ผมจะได้ออกรายการ ฝันที่เป็นจริงไหม (อยากได้บรีสกับรถเข็น)

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณพี่เป็ด วง Fool Fiction ด้วยคำพูดประมาณว่า อย่าทิ้งความฝัน เราสามารถทำความฝัน ควบคู่ไปกับความเป็นจริงได้ เหมือนกับการมีแฟนแล้วแอบคบกิ๊กไปด้วย 55555+ ขอบคุณพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจในการเขียนบล๊อกนี้ขึ้นมา ขอบคุณกำลังใจ(ที่ยังไม่มีใครให้) ขอบคุณพ่อและแม่ของผมที่ให้กำเนิดและให้พรสวรรค์กับผมมา ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ ขอบคุณอะไรบางอย่างที่ลืมขอบคุณ...

ยังไม่จบครับเพราะผมเป็นคนไม่ชอบ กล่าวคำขอบคุณในตอนจบ หวังว่าคงมีอีกหลายคนที่ชื่อชอบในตัวพี่บอย ถ้าใครได้พลาด หลง เข้ามาอ่าน บล๊อกผม ก็ร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ตามสบายนะครับ ร่วมพูดคุยกันก็ได้ หรือจะมาเป็นกิ๊กผมก็ได้ ฮ่าๆๆๆ

วันนี้พอก่อนดีกว่าเริ่มไม่มีสาระแล้ว ไว้วันหลังจะมาเขียนใหม่ มีอะไรให้เขียนให้ระบายความรู้สึกอีกมากมาย ไม่เชื่อลองเลื่อนกลับไปดู ชื่อหัวเรื่องของบทความนี้สิครับ จะเห็นว่า ผมยังไม่ได้ใส่ เครื่องหมาย ฟันหนู ( " ) ปิดคำพูดเลย นั่นหมายความว่า... ผมจะพูด บอกเล่า บรรยาย และเขียน สิ่งต่างๆเหล่านี้ ออกมาเรื่อยๆ ในบล๊อกแห่งนี้ จนกว่า...ความฝันทั้งหมดของผมจะเป็นจริงครับ...

อยากบอกว่า "ผมชอบพี่บอย โกสิยพงษ์...