วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ระบายเฉยๆ ศิลปิน Room39 โดย บอย โกสิยพงษ์

เพลง : ระบายเฉยๆ
ศิลปิน : Room 39
ผู้แต่ง : บอย โกสิยพงษ์


เนื้อร้อง

เธอก้มหน้าอมยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา ไม่ว่าเรานั้นจะไปใกล้ไกลแค่ไหน
เดี๋ยวซ้ายกด เดี๋ยวขวากด และยังไม่พอยังไม่หมด ต้องถ่ายรูปก่อนกินอาหารทุกครั้งไป
ทีแรกก็คิด ว่าคงไม่นาน ก็คงจะเบื่อไปเอง
แต่พอไม่นานเมื่อตัวเธอนั้นลองเล่นเกม เธอก็ติดอย่างจั๋งหนับ
แถมเธอยังไม่ยอมรับว่าเธอติดมัน ทั้งๆที่สองมือนั้นกดมันเต็มๆ

ฉันก็ได้แต่รอ แต่รอ รอเธอนั้นเงยหน้า เพื่อเพียงจะได้สบตา และได้สื่อสารกันบ้าง

ที่เธอถือในมือมันเป็นแค่โทรศัพท์ เอาไว้รับสายส่งข้อความเท่านั้น
ไม่ใช่แฟน no no no ไม่ใช่แฟน อยากให้รู้ว่าในมือเธอมันเป็นแค่โทรศัพท์
ไม่ได้รักเธอจริงอย่างใจของฉัน ไม่ใช่แฟน เอามาแทนฉันไม่ได้

ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ได้นอกใจ อะไรหรือว่าไปพูดไปคุยกับใครที่ไหน ทำให้ฉันเสียใจ
แต่ทุกครั้งที่ฉันเรียก เธอไม่ได้ยินที่ฉันเรียก
เธอกลับก้มหน้าก้มตา กดซ้ายกดขวา จนฉันไม่รู้ต้องทำอย่างไร

ฉันก็ได้แต่รอ แต่รอ รอเธอนั้นเงยหน้า เพื่อเพียงจะได้สบตา และได้สื่อสารกันบ้าง

ที่เธอถือในมือมันเป็นแค่โทรศัพท์ เอาไว้รับสายส่งข้อความเท่านั้น
ไม่ใช่แฟน no no no ไม่ใช่แฟน อยากให้รู้ว่าในมือเธอมันเป็นแค่โทรศัพท์
ไม่ได้รักเธอจริงอย่างใจของฉัน ไม่ใช่แฟน เอามาแทนฉันไม่ได้

ที่เธอถือในมือมันเป็นแค่โทรศัพท์ เอาไว้รับสายส่งข้อความเท่านั้น
ไม่ใช่แฟน no no no ไม่ใช่แฟน อยากให้รู้ว่าในมือเธอมันเป็นแค่โทรศัพท์
ไม่ได้รักเธอจริงอย่างใจของฉัน ไม่ใช่แฟน เอามาแทนฉันไม่ได้

ฟังกันได้ที่นี่นะครับ



ที่เอาเพลงนี้มาลงเพราะผมเห็นว่า เป็นเพลงที่ พี่ บอย โกสิยพงษ์ ต้องการสะท้อนความเป็นจริงของคนสมัยนี้จริงๆครับ
คนเรานั่งอยู่ด้วยกันแท้ๆ ไม่คุยด้วย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาคุย BB , iPhone เล่นเกมส์บ้าง Facebook บ้าง ถ้าแค่แปบๆ คุยธุระหรือทักทายเพื่อนๆในสื่อออนไลน์แค่เล็กน้อยก็ไม่แปลกครับ แต่บางคนทำเหมือนว่า ไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆเรา (บุคคลที่มีชีวิตมีความรู้สึก และสัมผัสตัวตนได้)

ก็อยากฝากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนไว้นะครับ บางครั้งคนเราต้องให้ความใส่ใจกับคนรอบข้าง ให้มากกว่าที่จะใส่ใจสื่อOnline หรือวัตถุที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารครับ

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คอนเสริต พี่บอย โกสิยพงษ์ 3 ธันวาคม 2554 สิ้นปีนี้ concert รับหน้าหนาว พร้อมร่วมเฉลิมฉลองวันพ่อแห่งชาติ

แอบเข้าไปดูหน้า Page ใน FaceBook ของพี่ บอย โกสิยพงษ์ มาครับ


พี่บอยขึ้นสถานะไว้ว่า...


" วันที่3ธันวาคมปีนี้มีใครวางแผนจะอยู่ที่กรุงเทพในช่วงหยุดยาวกันบ้างครับ? ผมและพี่น้องเพื่อนฝูงอยากจะจัดconcertกลางแจ้งแบบสบายๆในกรุงเทพกันครับ:) "


โอ้ว!!! น่าสนใจมากครับ ช่วงก่อนถึงวันพ่อแค่สองวันเอง พี่บอย ต้องมีเซอร์ไพร์สอะไรแน่ๆเลย


ผมจะรอดูนะครับ และภาวนาขอให้บรรยากาศในวันนั้น เป็นวันที่อากาศหนาวเย็น เนื่องด้วยน่าจะตรงกับฤดูหนาวพอดี


เพียงแค่ผมจินตนาการนึกถึงลมหนาวที่พัดโชยมา เรื่อยๆ เป็นจังหวะๆ พร้อมกับได้ฟังเพลงของพี่ บอย โกสิยพงษ์ เคล้าคลอไปด้วย


มันคงเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ด้วยอารมณ์หนาวกาย แต่อบอุ่นหัวใจ ด้วยเพลงรัก แสนโรแมนติก เชิงบวก ของพี่บอย


รับรองได้เลยว่าต้องเป็นคอนเสริตกลางกรุง ที่แสนจะโรแมนติกที่สุด และคงเปลี่ยนบรรยากาศเมืองกรุงที่แสนวุ่นวาย สับสน ให้สงบ เยือกเย็น แต่แอบแฝงไปด้วยความรักความอบอุ่น และรอยยิ้มของทั้งผู้ชมผู้ฟัง พร้อมทั้งผู้บรรเลงเพลงเป็นแน่


ผมจะรอติดตามชมคอนเสริตในครั้งนี้อย่างแน่นอนครับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ศิลปิน นักประพันธ์ ผู้ที่ไม่เคยสร้างดนตรี เสียงเพลง คำร้อง ทำนอง ที่ซ้ำซาก จำเจ


ผมชอบพี่มากครับ...

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

พี่บอย โกสิยพงษ์ คิดไอเดียในการทำประมูล เพื่อนำรายได้ช่วยผู้ประสบภัยภาคใต้

วันนี้ผมได้ติดตามดู กระดานข้อความ ของพี่ บอย โกสิยพงษ์ ใน Facebook Boyd Kosiyabong

พี่บอยขึ้นข้อความเอาไว้ว่า... " คิดว่าระหว่าง กีตาร์ ที่ถูกสั่งผลิตขึ้นมาตัวเดียวในโลกของผม กับ เนื้อเลงต้นฉบับพร้อมปากกาที่ใช้แต่งเพลง อะไรน่าจะนำไปประมูลในงาน ส่งรักไปปัก(ษ์)ใต้ ในวันศุกร์ที่ 8 นี้ดีครับ?:) "

และอีกข้อความต่อมาที่พี่บอยเขียนต่อไว้คือ... " หรืออีกหนึ่งไอเดียคือประมูลให้ผมไปแต่งเพลงจากเรื่องราวของชีวิตของคุณเองให้พร้อมทํา production จนเสร็จเป็นmaster เลย:) "

เมื่อเห็นข้อความเหล่านี้ในเฟซบุคของพี่บอยแล้ว ความรู้สึกแรกของผมคือ ชื่นชมพี่บอยมากครับ ทุกครั้งที่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นบนโลกไม่ว่าจะเป็นที่ไทยเองหรือทุกๆประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยธรรมชาติ หรืออะไรก็ตามแต่ พี่บอย โกสิยพงษ์ จะเป็นคนๆหนึ่งที่พร้อมจะให้ทั้งกำลังใจ หรือแบ่งปันคอยช่วยเหลือแก่ผู้คนที่โชคร้ายเหล่านั้นเสมอมา ไม่เสียทีที่เป็นชายที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอย่างผมเลย

แต่สิ่งที่ผมเห็นแล้วแอบตื่นเต้นมากก็คือ ข้อความที่พี่บอยบอกว่าจะ เปิดประมูลให้พี่บอย มาแต่งเพลงจากเรื่องราวของชีวิตผู้ประมูล พร้อมทำ production จนเสร็จเป็นmaster เนี่ยแหละครับ

เห็นแล้วคิดในใจ "น่าจะเป็นกรู" แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคงไม่มีวาสนาเพียงพอขนาดนั้น เพราะผมมันแค่คนธรรมดามากๆ คนนึง แถมช่วงนี้ยังตกงาน แม้พยายามทำธุรกิจส่วนตัว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที คงไม่มีรายพอได้ที่จะเอาไปประมูลแข่งกับคนอื่นได้เลย คิดแล้วมันแอบน้อยใจ และเศร้าใจจริงๆครับ เพราะการได้ร้องเพลงที่พี่บอยแต่ง หรือการที่พี่บอยเอาเรื่องราวในชีวิตของผมไปแต่งเป็นเพลง นั้นเป็นความฝันหนึ่งของผมเลยครับ

ก็ได้แต่ทำใจครับ บทเรียนนี้ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้ง "เงิน" สร้างฝันได้ครับ

แต่ผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่บอย โกสิยพงษ์ กำลังจะทำนะครับ เพราะด้วยความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังทุกข์ยากได้ บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ทุกข์ยาก มีปัจจัยทุกๆด้าน เพียงพอสำหรับดูแลตัวเอง ครอบครัว คนที่รัก แล้วจึงเหลือสำหรับแบ่งปันเป็นน้ำใจสำหรับบุคคลที่กำลังทุกข์ยากครับ...

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ...ของผม พร้อมเพลง ทรงพระเจริญ โดย บอย โกสิยพงษ์

เนื่องในวโรกาส วันพ่อแห่งชาติ ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553

ซึ่งในวันนี้ เป็นวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ โดยแบ่งความสำคัญอันยิ่งใหญ่นี้ออกเป็น สองส่วน

ความสำคัญส่วนแรก คือ เป็นวันฉลอง พระชนมายุ ครบ 83 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9 กษัตริย์ ผู้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลก และเป็นผู้ที่ปวงชนชาวไทยทุกคน เคารพ นบน้อม และรักใคร่ เปรียบเสมือน พ่อ ของปวงชนชาวไทยทุกคน

วันนี้จึงมีกิจกรรมต่างๆมากมายเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกัน ไม่ว่าจะเป็นการ กล่าวคำถวายพระพร หรือการจุดเทียนชัย แต่สิ่งที่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ต้องการที่สุด คงไม่พ้นการที่ได้เห็นคนไทยทุกคนอยู่ดีมีสุข และรักใคร่ปรองดองกัน ดังนั้นเรามาช่วยกันทำเพื่อพ่อหลวงกันสักนิด เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อหลวงของเรา ที่ท่านได้เคยทำเพื่อเรามามากมาย เหน็ดเหนื่อยมายาวนาน

สิ่งที่เราควรทำเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อหลวง คงจะมีไม่มากมาย และไม่ยากเกินที่เราทุกคนจะสามารถทำได้ ขอเพียงแค่เราคนไทยทุกคนต้องรักใคร่กัน รับฟังกันให้มากขึ้น เลิกแบ่งฝ่าย และเลิกสร้างความแตกแยก ทำในสิ่งที่ดี ถูกต้อง ตามกฎหมาย รู้สิทธิและหน้าที่ของตัวเอง และยึดหลักพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพ่อหลวงของเราทุกคนชาวไทย นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต เพียงเท่านี้พ่อหลวงของเราก็คงปลื้มปิติแล้ว

สำหรับความสำคัญส่วนที่สอง คือ วันนี้เป็นวันที่แต่ละคนให้ความสำคัญกับบุคคลที่เป็นผู้ให้กำเนิด และเลี้ยงดูเรามา นั่นคือ พ่อบังเกิดเกล้าของแต่ละคนนั่นเอง

วันนี้หลายๆคนอาจพาพ่อ ไปทานข้าว เที่ยว หรือ อะไรก็แล้วแต่ และยังมีอีกสิ่งสำคัญที่หลายคนทำกันในวันนี้ก็คือ การกราบพ่อ ไหว้พ่อ ให้ดอกไม้พ่อ บอกรักพ่อ กอดพ่อ

ซึ่งผมเองก็ได้ืทำสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกับที่หลายๆคนได้ทำในวันนี้ แต่ถ้าจะให้ดี สิ่งเหล่านี้เราควรพยายามทำให้ได้ทุกวัน และเป็นคนดีเพื่อพ่อ ไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจ และผิดหวัง

และในทั้งสองส่วนความสำคัญของวันพ่อนั้น ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในความสำคัญสำหรับผม และผมอยากบอกว่า "ผมรักพ่อมาก" ไม่ว่าจะเป็นพ่อหลวง และ พ่อบังเกิดเกล้าของผมเอง
พ่อทั้งสองนี้ ล้วนแต่มีพระคุณต่อผม ผมสัญญาว่า ผมจะเป็นคนดี และไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน และจะพยายามทำแต่สิ่งที่พ่อได้รับรู้แล้วเกิดแต่ความสุขกายและสบายใจครับ

...รักพ่อมาก

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายด้วยบทเพลงล่าสุดของพี่ บอย โกสิยพงษ์ ที่แต่งไว้ เพื่อใช้ในวโรกาส ฉลอง พระชนมายุ ครบ 83 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ 9 ในวาระนี้


เพลง...ทรงพระเจริญ 

อยากจะรู้หัวใจพระองค์นั้นทรงทำด้วยอะไร
เหตุอันใดจึงมีความรักมากมายให้ได้กับทุกคน
อยากจะรู้ร่างกายพระองค์ทำไมจึงถึงอดทน
แบกภาระที่มีมากล้นคนเดียวอย่างไร
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
กี่ปีมาแล้วที่เห็นพระองค์นั้นทรงเหนื่อยล้าใจกาย
โดยมุ่งหมายดูแลแก้ไขป้องภัยให้เรา
จนบัดนี้พระองค์ก็ยังคงคอยช่วยเหลือบรรเทา
และทรงเฝ้าทำเพื่อพวกเราไม่เคยเสื่อมคลาย
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่
อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ขอจงทรงพระเกษมสำราญ
พระวรกายและพระทัย
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์
ทรงพระเจริญ พระเจ้าอยู่หัวของคนไทย
จากใจพสกนิกรของพระองค์


วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลมหนาว...ที่พัดพา...อดีต... ที่เหน็บหนาว...กลับมาทุกครั้ง

      ช่วงเวลาแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาที่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ลมแรงๆ อากาศแห้งแล้ง ท้องฟ้าดูครึ้ม พาให้นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งวันเก่าๆ แม้ดูเหมือนเวลาจะผ่านมาหลายปีมาก ตั้งแต่ครั้งสมัยที่หน้าหนาวประเทศไทย ดูจะอุณหภูมิลดต่ำมาก เป็นระยะเวลายาวนาน กว่าทุกๆปี เท่าที่จำได้ นั่นคือฤดูหนาวปี พ.ศ. 2546

      ยังจำได้ดีว่า เมื่อครั้งนั้นเป็นฤดูหนาว ที่ทำให้ผม ได้รู้จัก และเข้าใจ คำว่า "หนาว" ได้อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง ซึ่งเป็นฤดูหนาว ที่หนาวได้ยาวนานและเยือกเย็นที่สุด เท่าที่ชีวิตผมจะจดจำได้ มันทั้งหนาวกาย และหนาวหัวใจ ปะปนกันจนเกินบรรยาย ทำไมนะหรือ? ก็เพราะเป็นหน้าหนาว ที่ผมอกหักเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ผมรู้สึกเหมือนชีวิตขาดคนที่คอยอยู่ข้างกาย ขาดคนที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ขาดคนที่คอยโทรหา พูดคุย ขาดคนที่คอยเดินจับมือไปด้วยกัน ขาดคนที่เคย ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ ไปด้วยกัน  เพราะจิตใจผมไม่อาจจะยอมรับสิ่งที่ขาดหายไป อย่างไม่ทันเตรียมใจ ในฤดูหนาวครั้งนั้นได้

      มันอาจจะดูโอเวอร์และน้ำเน่าสำหรับใครหลายคน อาจเพราะบางคนคงยังไม่เคยได้รับรู้ถึง คำว่า "รัก" และคำว่า "ผูกพัน" อย่างแท้จริง แต่ถ้าใครเคยผ่านจุดๆนึงที่ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สมองคิดอย่างเดียวคือ ขอให้เค้าคนนั้นกลับมา ซึมเศร้า อ่อนแอ ร้องไห้ได้ง่ายๆ ฯลฯ  นั่นคืออาการหลักๆของคนอกหัก คงเหมือนในละครหรือในหนัง ที่สมัยตอนเด็กๆผมเองก็เคยได้ดู บทละครที่พระเอกหรือนางเอก ร้องไห้ จะเป็นจะตาย เพราะอกหัก  ผมเองก็ยังเคยแอบขำในใจ มองว่า มันจะมีจริงเหรอ ความรู้สึกแบบนั้น  และแล้วจนได้เจอกับตัวเองในหน้าหนาวครั้งนั้น ด้วยอารมณ์ผสมกับบรรยากาศของลมหนาว ยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำของผมให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า หน้าหนาวในปีนั้นมันช่างยาวนานกว่าที่เคยมีมา และตั้งแต่วันนั้นมา ทำให้ผมได้รู้ว่า อาการคนอกหัก มีอยู่จริงในโลกใบนี้

      เมื่อถึงฤดูหนาวทีไร ลมหนาวก็ยังพัดพาความรู้สึกเก่าๆ ที่แสนเลวร้าย เจ็บปวด เหน็บหนาว กลับมากระทบกาย และกระทบจิตใจของผมอยู่เสมอ... จนบางครั้งผมแยกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่า ชอบฤดูหนาว หรือเกลียดฤดูหนาว กันแน่

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้... และ ยอมรับ...

      และแล้วปัญหามากมายเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่ผมต้องเจอ สุดท้ายมันก็สิ้นสุดลง ด้วยการ ลาออก คำสั้นๆที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใครๆหลายคน ผมเองก็หนึ่งในนั้น ที่ในวันนี้ ต้องเปลี่ยนสถานะตัวเอง เป็น คนตกงาน

      ไม่รู้ว่า มันสบายใจ หรือ ทุกข์ใจ กันแน่ อยู่ดีๆมันก็น่าใจหายที่วันนึงจะต้องฝืนตัวเอง ตื่นขึ้นมา ก่อน 8 โมง เพื่อ จะไปทำงานให้ทัน ไปนั่งเจอหน้าเพื่อนร่วมงานคนเดิมๆ วันละ 8 ชม. พักเที่ยงกินข้าวร้านเดิมๆ วนไปวนมาอยู่ไม่กี่ร้าน ดีใจทุกครั้งเมื่อถึงวันศุกร์ หน้าแห้งทุกครั้งยามสิ้นเดือน สุขใจทุกทีเมื่อต้นเดือนเงินเดือนออก และอีกหลากหลายอารมณ์ที่ได้รับรู้จากการ ทำงานประำจำ

      พอถึงวันนี้ ทุกสิ่งที่เหมือนจะเคยสัมผัสมันมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อครั้งที่ยังไม่ต้องทำงาน แต่เรากลับไม่เคยชินกับมันอีกครั้ง กับการที่ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว จะตื่นกี่โมงก็ได้ มีเวลามากมาย มีอิสระ ไม่ต้องแบกภาระอะไร

      แต่สิ่งที่ต้องมานั่งคิดกังวลคือ ต่อไปจะทำอะไรดี จะเอาเงินที่ไหนมาใช้

      คนเราก็แปลกนะ พอมีเวลา ก็มักไม่มีเงิน พอมีเงิน ก็มักไม่มีเวลา ชีวิตหนอ ทำไมมันช่างสวนทางกันในหลายๆเรื่อง ต่อไปนี้ผมจะขอเลือกทางเดินใหม่ โดยการทำอะไรสักอย่าง ที่มีเงิน และยังมีเวลา

      วันนี้ผมหวังเพียงสิ่งเดียวว่า ขอให้สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจทำลงไปนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และขอให้มีสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นกับชีวิตของผมในอนาคตตลอดไป แม้จะรู้ดีว่า ชีวิตนีต้อง...เรียนรู้ และ ยอมรับ

ดั่งเพลงของ พี่ บอย โกสิยพงษ์ ที่มีชื่อว่า "Live and Learn" ก็ตาม


เนื้อเพลง
ลีฟ แอนด์ เลิร์น (Live and Learn)


เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด


วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

เลือกใช้คำว่า...เดี๋ยว

   หลายคนเคยคิดอะไรไว้ เคยอยากจะทำอะไร เคยฝัน เคยชอบ เคยรัก เคยอยาก...(แต่ละคนอยากต่้างกันไปมากมาย)  แต่ถ้า เรา เอ่ยคำว่า "เดี๋ยว" เดี๋ยวค่อยทำ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวว่ากัน เดี๋ยวดูก่อน เดี๋ยวดูอีกที  เดี๋ยวนะ ฯ สุดท้ายอะไรทุกอย่างก็จะยังไม่เกิด ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นแค่อนาคต ที่อาจจะไม่มีทางได้ไปถึง

   แต่...ถ้าเราเปลี่ยนเป็นคำว่า "เดี๋ยวนี้"  แค่นั้นแหละ ทุกอย่างจะเป็นปัจจุบันและดำเนินต่อไปในทันที

   และคำว่า "เดี๋ยว" คำสุดท้ายที่ไม่ควรไปยุ่งกับมันในการตั้งใจทำอะำไรสักอย่าง ก็คือคำว่า "เดี๋ยวเดียว"

   ดังนั้นต้องเลือกใช้คำว่า "เดี๋ยว" กันเอาเอง